ก่อนจะเป็น coffee lover หรือนักดื่มกาแฟที่เสพอรรถรสของกาแฟอย่างมีความสุข เรามีเกร็ดความรู้มาแบ่งปันกันในบางแง่มุม ถือว่าอ่านกันพอเพลิน ๆ
การคั่วเมล็ดกาแฟ Light Roast (city roast) เป็นการคั่วแบบอ่อนที่สุด จะได้เมล็ดกาแฟสีน้ำตาลอ่อนผิวเมล็ดแห้ง acidity ยังสูงอยู่ เกิดการ caramelize ไปแล้วประมาณ 50% รสชาติกาแฟยังไม่ขมมากนัก เป็นระดับการคั่วที่แสดงลักษณะเฉพาะของสายพันธ์กาแฟ (origin character) ได้ดีที่สุด การคั่วระดับนี้ กาแฟจะมีรสเปรี้ยวแหลมของความเป็นกรดจึงไม่เหมาะแก่การนำมาใช้ทำเป็นเครื่องดื่ม Espresso
ถัดไปเป็นการคั่วระดับกลาง การคั่วระดับนี้จะได้เมล็ดกาแฟที่มีสีเรียกว่า Cinnamon Roast Medium Roast (full city roast) เป็นการคั่วในระดับปานกลางที่ให้ความเข้มมากกว่าแบบแรก บอดี้กาแฟเต็มขึ้น acidity ลดลง โดยจะมีรสชาติกลมกล่อม อโรมามีกลิ่นหอมละมุนละไม ซึ่งผู้ค้ากาแฟทั่วไปนิยมการคั่วในระดับนี้ และเป็นระดับการคั่วที่เหมาะที่จะนำไปทำเป็นเครื่องดื่ม Espresso
Dark Roast (viennist roast) เป็นการคั่วในระดับเข้มการคั่วเมล็ดกาแฟในขั้นนี้ จะได้เมล็ดกาแฟสีเข้มมากจนเกือบดำและให้กลิ่นกาแฟอย่างเต็มที่กาแฟคั่วเข้มจะมีน้ำมันซึมออกมาเคลือบเมล็ดจนมันวาว acidity ลดลงอีก body กาแฟลดลงด้วย เป็นระดับการคั่วที่แสดงลักษณะการคั่ว (roast character) มากกว่า origin character เหมาะกับการชงเครื่องดื่มที่มีส่วนผสมของนม เช่น คาปูชิโน ลาเต้
การบดเมล็ดกาแฟ
การบดเมล็ดกาแฟ มีบทบาทที่สำคัญในการกำหนดรสชาติ ผงกาแฟที่บดละเอียดมากเกินไปจะทำให้้น้ำสัมผัสกับผิวเมล็ดกาแฟมาก กาแฟที่ได้ออกมาจะมีรสขมมาก สำหรับผงกาแฟที่หยาบจะทำให้น้ำไหลผ่านเมล็ดกาแฟเร็วเกินไป กาแฟที่ได้ออกมาจะมีรสจืด ทั้งนี้การบดกาแฟจะต้องดูว่าเราจะนำกาแฟที่บดแล้วไปใช้กับเครื่องชงกาแฟชนิดไหนด้วย อย่างเช่น เครื่องชงกาแฟแบบ espresso machine จะใช้ระดับการบดที่ละเอียด เครื่องชงกาแฟแบบ drip หรือแบบที่มีตัวกรองเป็นกรวยกระดาษจะใช้การบดในระดับกลาง และเครื่องชงกาแฟแบบ french press หรือแบบที่ใช้ลูกสูบกดผงกาแฟลงไปไว้ข้างล่างจะใช้การบดในลักษณะค่อนข้างหยาบ เป็นต้น
เมื่อคั่วและบดกาแฟได้ระดับที่เหมาะสมกับการชงเครื่องดื่มแล้ว เรามาทำความรู้จักกับประเภทของเครื่องชงและประเภทเครื่องดื่มกันดีกว่า
เริ่มจากการชงกาแฟแบบที่ไม่ค่อยเห็นกันบ่อยนัก ได้แก่การต้มผงกาแฟบดละเอียดเข้ากับน้ำในหม้อคอคอด ซึ่งเรียกว่า ไอบริก (ibrik)
กรรมวิธีการชงต่อมาเรียกว่าการชงแบบ French Press เป็นวิธีการชงที่มีต้นกำเนิดจากประเทศฝรั่งเศส การชงแบบนี้เราเห็นได้บ่อยกว่าการชงแบบแรก วิธีชงก็ง่ายแค่เลือกกาแฟที่ต้องการใส่ลงในแก้วชง เทน้ำร้อนใส่ในแก้วที่มีก้าน รอประมาณ 4-5 นาทีก็กดก้านดันกากกาแฟให้ไปอยู่ก้นแก้ว รินกาแฟเติมนมครีมหรือน้ำตาลตามชอบ
วิธีนี้เป็นการชงที่สะดวกสบาย ง่าย ไม่เปลืองไฟฟ้า แต่เหมาะสำหรับการดื่มแค่ 1-2 คนเท่านั้น
ซึ่งแยกได้เป็นแบบที่ใช้เครื่องกับแบบที่ไม่ใช้เครื่อง วิธีนี้จะนำกาแฟที่คั่วบดเรียบร้อยแล้วมาเทใส่กระดาษกรองแล้วปล่อยให้น้ำร้อนไหลผ่านกาแฟแล้วค่อยๆ หยดลงมาสู่โถรับกาแฟด้านล่าง จากนั้นจึงนำไปเสิร์ฟ
วิธีนี้จะเห็นได้บ่อยตามร้านอาหารที่มีเมนูกาแฟร้อน หรือเวลาไปสัมมนาตามโรงแรม ข้อดีคือสะดวกเหมาะสำหรับการเสิร์ฟกับปริมาณคนมากๆ แต่ก็มีข้อเสียคือ จะได้กาแฟที่มีความเข้มน้อย กลิ่นและความมันจะถูกกระดาษกรองดูดซึมไว้จนเสียรสชาติไป
และวิธีสุดท้าย เป็นการชงกาแฟที่ให้รสชาติถูกใจคอกาแฟมากที่สุดคือ การชงกาแฟโดยใช้เครื่อง Espresso Machine
วิธีนี้เป็นวิธีที่ร้านกาแฟนิยมใช้มากที่สุด เป็นการใช้ไอน้ำอัดผ่านเมล็ดกาแฟที่คั่วบดแล้วอย่างรวดเร็ว ทำให้ได้กาแฟเอสเพรสโซ่สีทองที่ส่งกลิ่นหอมไปทั่วร้าน เครื่องชงกาแฟแบบนี้มักมาพร้อมกับที่อุ่นนมและทำฟองนม ข้อดีคือถ่ายทอดรสชาติและจุดเด่นของกาแฟแต่ละชนิดออกมาได้ดีที่สุด แต่ราคาก็ค่อนข้างสูง เริ่มต้นที่หลายหมื่นจนถึงหลายแสนเลยทีเดียว
ประเภทของเครื่องดื่ม